รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ดีต่อสุขภาพอย่างไร ?

การถูกคุกคามและการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แทบไม่น่าเชื่อว่าในช่วง พ.ศ. 2513-2561 ชนิดพันธุ์ในกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลัง ลดลงกว่าร้อยละ 68 (WWF, 2563) ความหลากหลายทางชีวภาพในโลกจึงกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยง สอดคล้องกับรายงาน Global Risks Report 2024 ที่ระบุว่าการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศเป็นความเสี่ยงของโลกในอันดับต้น ๆ ร่วมกับสภาพภูมิอากาศสุดขั้วและการเปลี่ยนแปลงระบบของโลกในระดับวิกฤต ซึ่งกำลังส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีและความอยู่รอดของมนุษย์เรา

ความหลากหลายทางชีวภาพกับมนุษย์แยกกันไม่ได้



สำหรับพื้นที่ทางธรรมชาติ เป็นไม่ว่าป่าไม้ แม่น้ำ คูคลอง บึง และอื่น ๆ ล้วนเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ได้เอื้อประโยชน์ต่อมนุษย์นอกเหนือจากด้านอาหาร แต่ยังมีคุณค่าทางจิตใจ สร้างเสริมสุขภาพกายที่ดี ช่วยผ่อนคลายจากความเครียด จากมีพื้นที่เปิดโล่งที่มีอากาศถ่ายเท เป็นพื้นที่ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมนันทนาการรูปแบบต่าง ๆ และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีของเด็กรุ่นใหม่

น่าเสียดายว่าพื้นที่ทางธรรมชาติในเมืองหลายแห่งถูกเปลี่ยนไป เพราะมองว่าเป็น “พื้นที่รกร้าง” ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ หารู้ไม่ว่า... พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่รองรับและซับน้ำ  ช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมและภัยแล้งในหลายเมืองทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ให้ความชุ่มชื้นและความร่มรื่น ช่วยลดอุณหภูมิของเมืองจากปรากฎการณ์เกาะความร้อนเมือง (Urban heat island : UHI) ผ่านการระเหยและการคายน้ำ จึงทำให้มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยต่ำกว่าพื้นที่อื่น

ส่วนพื้นที่ธรรมชาติขนาดใหญ่ ได้ช่วยในด้านน้ำสะอาด อากาศสะอาด ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของศัตรูพืชและเชื้อโรค เป็นแหล่งรวบรวมพันธุกรรม และควบคุมสภาพภูมิอากาศ

อาหารที่ดี ต้องมีความหลากหลาย (ทางชีวภาพ)

ทราบกันหรือไม่ว่า การบริโภคอาหารในแต่ละวันให้มีความหลากหลายทางชีวภาพหรือหลากหลายสายพันธุ์จะช่วยให้เราได้รับสารอาหารรอง (Micronutrients) อย่างเพียงพอ ซึ่งมีความสำคัญพอ ๆ กับการบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่



ผักผลไม้ที่มีสายพันธุ์ต่างกันแม้เพียงน้อยนิดจะมีสารอาหารรองที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่ผักผลไม้ในสายพันธุ์เดียวกัน แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน ก็จะมีสารอาหารรองแตกต่างกัน

อย่างกรณีกล้วยที่มีเนื้อสีส้ม (orange-fleshed banana) จะมีเบต้าแคโรทีนสูงกว่ากล้วยเนื้อสีขาวอย่างที่เราคุ้นเคยกัน การมีข้อมูลและความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมสร้างทางเลือกที่ดีในการบริโภค

มาดูพืชในกลุ่มกะหล่ำปลีกัน! กะหล่ำปลีและบ๊อกฉ่อยที่เป็นพืชในตระกูลกะหล่ำเหมือนกัน อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูกเหมือนกัน แต่กะหล่ำปลีจะมีกรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) ที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายเป็นไขมัน ส่วนบ๊อกฉ่อยมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C, E เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) และซีลีเนียม (Selenium) ที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง

การมีข้อมูลเหล่านี้ ได้ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคร่วมมือกันรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้มีทางเลือกในการบริโภคอาหารที่หลากหลาย ไม่จำเจ และที่มีคุณค่าต่อสุขภาพ

การสร้างเสริมสุขภาพในงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ความหลากหลายทางชีวภาพกับสุขภาพของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ เพราะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและน้ำ ความเสี่ยงภัยธรรมชาติ ความเสี่ยงต่อโรคระบาด การมีแหล่งรวมพันธุกรรมสำหรับผลิตวัคซีน ยาแผนปัจจุบัน และสมุนไพร

เริ่มจากการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภค ในการเลือกซื้อหาอาหารที่ไม่ใช้หรือควบคุมการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีทางการเกษตร ซึ่งทำให้ทั้งผู้บริโภคและเกษตรกรมีสุขภาพที่ดี และลดภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เลือกบริโภคอาหารพื้นถิ่นเพื่อลดการนำเข้าชนิดพันธุ์จากต่างถิ่น ที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อชนิดพันธุ์อื่น รักษาแหล่งพันธุกรรมพื้นถิ่น ส่วนอาหารที่หลากหลายนอกจากจะช่วยลดความจำเจแล้ว ยังช่วยให้มีสายพันธุ์ที่หลากหลาย ลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรคและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การออกแบบและรักษาสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการออกแบบเมืองตามแนวคิด Cities with Nature ให้เมืองและธรรมชาติอยู่คู่กัน คุ้มครองพื้นที่สีเขียวและแหล่งน้ำธรรมชาติ ป้องกันและลดมลพิษทั้งอากาศ น้ำเสีย และขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นการป้องกันผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพของมนุษย์และยังส่งผลดีต่อการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติเพื่อเสริมพัฒนาการของเด็ก ด้วยการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ที่ การสำรวจและรวบรวมข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นสร้างคุณค่าและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ความตระหนักของเด็กในการร่วมกันดูแลรักษาแหล่งธรรมชาติใกล้ตัว



การส่งเสริมกิจกรรมนันทนาการอย่างรับผิดชอบ โดยเฉพาะการทำกิจกรรมท่องเที่ยว กีฬา พักผ่อนในพื้นที่ทางธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น ไม่ส่งเสียงดัง ไม่หยิบจับ ย้าย หรือนำพืชและสัตว์ออกมาจากพื้นที่ เคารพกฎระเบียบการเข้าพื้นที่อย่างเคร่งครัด ไม่สัมผัสตัวสัตว์และไม่ควรพยายามไล่ตาม หรือหลอกล่อให้สัตว์เข้าใกล้ด้วยอาหาร ไม่สร้างขยะและทิ้งไว้ในแหล่งธรรมชาติ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสัตว์

ภาคีด้านสุขภาพสามารถมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ผ่านกระบวนการจัดทำแผนงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP) ที่กำลังดำเนินให้แล้วเสร็จภายในปี 2567 เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายของกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework) คือ “การมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่กับธรรมชาติที่สมบูรณ์ ภายใน ค.ศ. 2050 หรือ พ.ศ. 2593”
ขอบคุณแหล่งข้อมูลและภาพ:
  • สำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (The CBD Secretariat)
  • กลไกการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความหลากหลายทางชีวภาพ (CHM-Thai)
  • องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF)
  • World Economic Forum
  • Human Healthcare Thailand
  • Image by jcomp on Freepick
  • Image by Benj

ขอบคุณข้อมูลจาก: TEI

เรียบเรียงโดย:

ธนิรัตน์ ธนวัฒน์

นักวิจัย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย

Tags:
บทความเกี่ยวข้อง: