พายุจ่อถล่มไทยอีก 5 ลูก รับปีใหม่แบบชุ่มฉ่ำไม่ทันตั้งตัว !
ปีนี้ ไทยเหมือนปีแห่งน้ำ หรือจะซ้ำรอยปี 2554 ? ที่น้ำหลาก ฝนเยอะ จนเกิดมหาอุทกภัย !

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) เผยว่า ช่วงปลายปีนี้อาจต้องลุ้นหนักอีกรอบเพราะมีโอกาสจะเกิดพายุเขตร้อนเพิ่มขึ้นอีก 4–5 ลูก ถึงจะยังบอกไม่ได้ว่าพายุจะเข้าไทยตรง ๆ ไหม แต่แรงกดอากาศและมวลความชื้นจากทะเลก็ยังส่งผลถึงเราได้เต็ม ๆ ฝนอาจกลับมาตกหนักอีกระลอก หลายพื้นที่อาจต้องกลับมาเจอกับน้ำขัง รถติด ถนนลื่น หรือบางคนอาจต้องลำบากกับน้ำท่วมอีกครั้ง
Climate Change ส่งผลอย่างไร?
ข้อมูลเมื่อ 7 พ.ย. 2568 อิทธิพลของพายุโซนร้อนที่ก่อตัวใกล้ทะเลจีนใต้ แม้จะไม่ได้พัดเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่การเคลื่อนตัวของมันได้นำพาความชื้นมหาศาลและกระตุ้นให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ ดังนี้
- ปริมาณน้ำฝนสูงผิดปกติ กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า บางพื้นที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเกิน 90 มิลลิเมตรต่อวัน ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ประกาศเตือนภัยใน 66 จังหวัดทั่วประเทศ ให้เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำล้นตลิ่ง และดินถล่ม
- ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มสูง อิทธิพลของพายุยังทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งรับมวลน้ำจากภาคเหนือและอีสานตอนบน
- สถานการณ์เขื่อนน่ากังวล สถานการณ์น้ำในเขื่อนใหญ่ทั่วประเทศอยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่มีปริมาณน้ำกักเก็บแล้วกว่า 99% ของความจุ (ข้อมูล 10 พ.ย. จาก กรมชลประทาน) ทำให้ต้องเตรียมแผนระบายน้ำล่วงหน้าเพื่อป้องกันน้ำล้นเขื่อน
เรื่องนี้กำลังบอกเราว่าพายุกับภัยพิบัติกำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะผลจากสภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติจาก Climate Change และความเปราะบางของพื้นที่ลุ่มน้ำในภูมิภาค
พายุที่พัดเข้าไทยช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ หนักสุดคือภาคเหนือกับอีสาน ที่เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ จังหวัดน่าน โดนผลกระทบหนักสุด คนได้รับผลกระทบมากกว่า 206,000 คน ที่นาที่ไร่เสียหายไปกว่า 22,000 ไร่ สิ่งที่เราเห็นตอนนี้ มันไม่ใช่แค่อากาศที่หลงฤดู แต่มันคือผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ที่กำลังทำให้ฤดูกาลในไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ลมหนาวมาช้ากว่าเดิม ฝนก็ตกนานกว่าทุกปี
ถึงเวลา ‘ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด’
ตอนนี้อากาศไม่ได้แค่แปรปรวน แต่ “เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” ฝนที่ควรหมดกลับยืดยาว พายุที่ควรมาช่วงกลางปีกลับลากยาวเป็นระลอกๆ จนถึงปลายปี ความไม่ปกติแบบนี้คือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทันจากเดิมแค่รอดูข่าว แต่วันนี้ถึงเวลาที่เราต้อง "เตรียมพร้อมรับมือปัญหา" เพราะนี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) เสนอแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) ตามแนวคิด "ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด" แบ่งเป็น 3 ระดับ
ระดับบุคคล
- ศึกษาแผนที่ความเสี่ยงระยะยาวและปรับปรุงบ้านให้ สอดคล้องกับระดับน้ำ ความแรงของพายุอยู่ในสภาพแข็งแรง เช่น ติดตั้งประตูหน้าต่างกันลม และตรวจสอบซ่อมแซมโครงสร้างบ้าน
- ติดตามข้อมูลข่าวสารและประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดอย่างสม่ำเสมอ
- เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น น้ำดื่ม อาหาร ยารักษาโรค ไฟฉาย และวางแผนเส้นทางหนีภัยที่ปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงที่มีพายุรุนแรงและงดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า
ระดับชุมชนและเมือง
- ศึกษาแผนที่ความเสี่ยงระยะยาว วางแผนเพิ่มพื้นที่รับน้ำ หน่วงน้ำ ขจัดสิ่งกีดขว้างทางน้ำ
- ดูแลสภาพแวดล้อมรอบชุมชน เช่น ตัดแต่งต้นไม้ที่เสี่ยงหักโค่นและกำจัดขยะที่อาจขวางทางระบายน้ำ
- สร้างความตระหนักรู้และฝึกซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติในครอบครัวและชุมชน
- จัดตั้งจุดรวมพลและศูนย์ช่วยเหลือชุมชนในยามฉุกเฉิน
- แจ้งเตือนประชาชนให้ติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ระดับหน่วยงานและภาครัฐ
- วางแผนบริหารจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับพายุและน้ำท่วม
- ส่งเสริมการศึกษาและวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการเตือนภัยและลดผลกระทบของพายุอย่างยั่งยืน
- พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่แม่นยำและเข้าถึงประชาชนทุกระดับ
- บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ การอยู่รอดในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ต้องการการลงมือทำอย่างจริงจัง
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ขอเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการสื่อสารประเด็น Climate Adaptation เพื่อประโยชน์สาธารณะ พร้อมย้ำชัดว่า การเตรียมพร้อมรับมือตามแนวทาง "ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด" ในระดับบุคคล ชุมชน และภาครัฐ ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดเดียว ที่จะช่วยให้ประเทศไทยลดความเสี่ยง สร้างภูมิคุ้มกัน และก้าวข้ามวิกฤตสภาพอากาศสุดขั้วนี้ไปได้อย่างยั่งยืน
Share: