คลื่นกัดเซาะรุนแรง กลืนกินแผ่นดิน หายไปทุกวัน !
นี่ไม่ใช่บทภาพยนตร์ แต่คือเรื่องจริงที่ชายฝั่งทะเลของบ้านเรา กำลังเผชิญหน้ากับการกัดเซาะที่รุนแรงและรวดเร็วจนน่ากลัว ผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาเตือนว่าปัญหานี้กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างวิกฤต

อะไรคือตัวเร่ง ให้เกิดคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง มากขึ้น ?
‘โลกเดือด’ หรือ ‘Climate Change’ ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดเดาไม่ได้นั้นคือตัวการสำคัญ ที่กำลังเร่งความรุนแรงของปัญหาคลื่นลมกัดเซาะชายฝั่งให้พุ่งสูงขึ้นทั้งในด้านความรุนแรง และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบกว่าที่คาดการณ์ไว้
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลต่อคลื่นลมและชายฝั่ง ดังนี้
- ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น: 100 ปีที่ผ่านมา น้ำทะเลสูงขึ้นกว่า 7 นิ้ว ทำให้ชายฝั่งร่นตัวเร็วขึ้น (บางพื้นที่ร่นไปกว่า 90 เมตร) ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างพื้นดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณชายฝั่ง รวมถึงการเพิ่มขึ้นของแนวคลื่นและความแรงของคลื่นทะเล เนื่องจากความร้อนโลกทำให้เกิดการละลายของธารน้ำแข็งและการขยายตัวของน้ำทะเล
- คลื่นทะเลที่แรงขึ้น: งานวิจัยระบุว่าความเร็วลมเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.5 เมตรต่อวินาที ความสูงของคลื่นเพิ่มขึ้นอีก 30 เซนติเมตรในช่วง 33 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในมหาสมุทรทางใต้ ซึ่งเป็นผลจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและส่งผลให้คลื่นทะเลมีพลังมากขึ้น
- กระทบต่อแนวชายฝั่ง: การเคลื่อนที่ของตะกอนและพายุที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการพัฒนาริมชายฝั่งและกิจกรรมของมนุษย์ที่ทำให้สมดุลตามธรรมชาติผิดปกติ
ชายฝั่งของไทย ได้รับความเสียหายอย่างไร ?
- สูญเสียแผ่นดิน: ชายฝั่งไทยถูกกัดเซาะหายไปแล้วกว่า 830 กม. (หรือ 26% ของแนวชายฝั่งทั้งหมด)
- กระทบผู้คนกว่า 12 ล้านคน: ชุมชนชายฝั่ง (เช่น อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช บางขุนเทียน กทม. หรือพระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ กำลังสูญเสียที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน และต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน วิถีชีวิตดั้งเดิมกำลังหายไป
- เศรษฐกิจพัง: แหล่งท่องเที่ยวอย่างชายหาดถูกทำลายส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การประมงและเกษตรกรรมชายฝั่ง รายได้ของชุมชนลดลง
- ระบบนิเวศล่มสลาย: "เกราะป้องกันธรรมชาติ" อย่างป่าชายเลน แนวปะการัง และหญ้าทะเลถูกทำลายส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เช่น การขาดอาหารของพะยูน ทำให้ชายฝั่งยิ่งเปราะบางและถูกกัดเซาะง่ายขึ้น
- คุณภาพชีวิตพังทลาย: ผู้คนต้องเผชิญความเครียดและความไม่แน่นอนจากการสูญเสียทรัพย์สินและความมั่นคงในชีวิต
ทางรอดเดียวคือ “ปรับ เปลี่ยน” ตามหลัก "ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด"
ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งคือหนึ่งในวิกฤตที่ชัดเจนที่สุดของ Climate Change และทางรอดเดียวของเราคือการ 'ปรับตัว' เพื่ออยู่กับความเปลี่ยนแปลงนี้ให้ได้ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ขอเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการสื่อสารประเด็น Climate Adaptation เพื่อประโยชน์สาธารณะ จึงขอแนะนำแนวทาง "ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด" เพื่อรับมือปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตั้งแต่ระดับบุคคล ชุมชน จนถึงระดับประเทศ ดังนี้:
ระดับบุคคล
- ร่วมกันปลูกและรักษาต้นไม้ริมชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลน เพื่อช่วยจับตะกอนและลดพลังคลื่นลม
- สร้างแนวกันคลื่น ด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น แนวไม้ไผ่ กิ่งไม้ หิน เพื่อช่วยลดแรงสั่นสะเทือนจากคลื่น
- เก็บรักษาทรัพยากรชายฝั่งและไม่ทำลายธรรมชาติ เช่น หลีกเลี่ยงการขุดหรือตักทรายมากเกินไป หรือการถมทรายที่ขาดการวิเคราะห์ผลกระทบรายงาน
.
ระดับชุมชน
- พัฒนาระบบแนวกันคลื่นถาวร เช่น เขื่อนกันคลื่น หรือกำแพงกันคลื่น ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และเน้นการใช้ธรรมชาติ (Nature-based Solutions)
- ฟื้นฟูและขยายพื้นที่ป่าชายเลน รวมถึงแนวปะการัง เพื่อเป็นเกราะป้องกันธรรมชาติจากคลื่นลม
- ส่งเสริมการจัดการพื้นที่ชายฝั่งอย่างยั่งยืน เช่น การวางแผนไม่สร้างสิ่งปลูกสร้างใกล้แนวชายฝั่งที่เปราะบาง
- สร้างความรู้และสร้างความตระหนักถึงภัยและวิธีป้องกัน รวมทั้งเฝ้าระวังและเตือนภัยแก่ชุมชน
.
ระดับเมืองและประเทศ
- วางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรชายฝั่งเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยและระบบเตือนภัยพายุ
- สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทาน และมีความยืดหยุ่น เช่น เขื่อนกันคลื่นและระบบระบายน้ำที่ดี
- ส่งเสริมการวิจัยและนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยบรรเทาปัญหา เช่น การใช้วัสดุกันคลื่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- ร่วมมือระหว่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการและแลกเปลี่ยนความรู้
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยหรือ TEI ขอชวนทุกคนมาเรียนรู้แนวทางการปรับตัวตามหลัก
“ปรับเพื่ออยู่ รู้เพื่อรอด” เพื่อให้สังคมริมชายฝั่งทะเลให้มีความปลอดภัย เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดจากคลื่นลมกัดเซาะชายฝั่งในอนาคต ซึ่งทำให้ชุมชนและธรรมชาติริมทะเลอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น
Share: