อนุรักษ์ธารน้ำแข็ง ไกลตัวหรือไม่?
ในวันน้ำโลกปีนี้ UN Water ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง (Glacier Conservation) เนื่องในโอกาสการประกาศวันธารน้ำแข็งโลก (World Days for Glaciers) เป็นครั้งแรก และเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งจะส่งผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำและความเป็นอยู่ของประชากรโลก
หากพูดถึงทรัพยากรน้ำ คนเมืองร้อนอย่างเราคงนึกถึงน้ำท่วม น้ำแล้งมากกว่าที่จะนึกถึงธารน้ำแข็งหรือน้ำแข็งขั้วโลกที่ฟังแล้วไกลตัวและนึกไม่ออกว่าหากน้ำแข็ง ๆ เหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไป จะกระทบกับเราอย่างไร
ประมาณกันว่าธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยเก็บน้ำจืดไว้ในปริมาณมหาศาล เป็นรองก็เพียงแต่ธารน้ำแข็งที่กรีนแลนด์และน้ำแข็งขั้วโลกที่แอนตาร์กติก แม่น้ำสำคัญหลายสายในเอเชียมีต้นกำเนิดมาจากธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัย อาทิเช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำสินธุ แม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำเหลือง
จากการที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและเหล่าธารน้ำแข็งเริ่มละลายและหดตัว นักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างกังวลว่าในอนาคตการขาดแคลนน้ำจะเกิดขึ้นและจะส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านที่พึ่งพิงแม่น้ำที่มีต้นกำเนิดมาจากธารน้ำแข็ง การที่อุณหภูมิในฤดูใบไม้ผลิอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วกว่าปกติ ก่อให้เกิดน้ำท่วมและน้ำไหลบ่าอย่างรุนแรงส่งผลให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้น้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งได้ช้าหรือน้อยลง ส่งผลต่อปริมาณน้ำแข็งที่จะละลายเพื่อเติมน้ำให้กับแม่น้ำในฤดูต่อไป ก่อให้เกิดความแห้งแล้งตามมา หากธารน้ำแข็งหิมาลัยยังคงหดตัวในอัตราที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คาดการณ์ว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำดังกล่าวจะมีชีวิตอยู่โดยขาดแคลนน้ำดื่ม และเนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นหนึ่งในแม่น้ำสำคัญที่มีต้นกำเนิดจากธารน้ำแข็งหิมาลัยซึ่งไหลผ่าน 8 จังหวัดของประเทศไทยเป็นระยะทางกว่า 1,500 กิโลเมตร การบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งเป็นเรื่องไกลตัวก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว
หนทางที่จะช่วยให้ธารน้ำแข็งเหล่านั้นละลายช้าลงคือการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดอุณหภูมิของโลก นอกจากนั้นการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้น้ำอย่างรู้ค่าก็เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้โดยไม่ต้องรอให้ธารน้ำแข็งหิมาลัยละลายจนหมดสิ้น
Share: