สืบเนื่องจาก โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme: UNEP) ร่วมกับเครือข่ายสิ่งแวดล้อมเจนีวา (Geneva Environment Network: GEN) จัดการหารือออนไลน์ระหว่างประเทศต่าง ๆ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคส่วนที่หลากหลายต่อประเด็น “การประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาล ครั้งที่ 5.2” (Intergovernmental Negotiating Committee: INC – 5.2) ในการจัดทำมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านมลพิษจากพลาสติกรวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางทะเล การประชุมหารือข้างต้นจัดขึ้นภายใต้ “Geneva Beat Plastic Pollution Dialogues” ซึ่งเป็นการหารือที่หวังให้เกิดการทำงานและขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อทบทวนหนทางการผลิต ใช้ จำหน่าย และจัดการพลาสติก ทั้งนี้ การประชุม INC-5.2 จัดขึ้น ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในระหว่างวันที่ 5 – 14 สิงหาคม พ.ศ. 2568 โดยจะมีหลายประเทศทั่วโลกเข้าร่วมการประชุมจำนวนมากกว่า 4,000 คน จาก 184 ประเทศ
โดยมี คณะผู้แทนของประเทศไทยจากทุกภาคส่วนเข้าร่วมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคมจำนวนรวมกว่า 20 คน โดย ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และนายกสมาคมความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติกและขยะอย่างยั่งยืน ได้เข้าการประชุม INC-5.2 ดังกล่าว
โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ยังคงเผชิญกับปัญหามลพิษพลาสติกรั่วไหลสู่ทะเลในระดับสูง จึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลก โดยถือเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกัน ตั้งแต่ผู้ผลิตโพลีเมอร์ที่ต้องลงทุนในเทคโนโลยีพลาสติกหมุนเวียน ผู้ประกอบการที่ต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคที่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการใช้พลาสติก ไปจนถึงภาครัฐที่ต้องออกกฎระเบียบที่เข้มข้น พร้อมสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสนธิสัญญาฉบับนี้ไม่เพียงเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมพลาสติก แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลาสติกยั่งยืนระดับโลก สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน อนุรักษ์ทรัพยากร และผลักดันการสร้างงานสีเขียวที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต
แนวทางที่สนธิสัญญาจะมุ่งเน้น ได้แก่
- เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy): ส่งเสริมการนำกลับมาใช้ใหม่ (reuse) และการรีไซเคิล (recycle)
- ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- สร้างความเท่าเทียม: สนธิสัญญาจะต้องคำนึงถึงประเทศที่ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการขยะพลาสติก เพื่อให้ทุกประเทศสามารถเข้าร่วมและปฏิบัติตามได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ จากการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ในเรื่องของการยกระดับในการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรมตอบสนองต่อทิศทางนโยบายของประเทศตามมาตรการด้านมลพิษจากพลาสติก (Global Plastic Treaty) รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางทะเลที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการกำกับให้ทุกประเทศมีการแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกอย่างเป็นรูปธรรมอันจะเป็นกุญแจสำคัญสู่การยุติมลพิษพลาสติก

Share: