ขยายเครือข่ายชุมชนสิ่งแวดล้อมยั่งยืน เดินหน้ากิจกรรม “รถ เปลี่ยน โลก” (Mobility Upcycling) ส่งเสริมการคัดแยกขยะและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อความยั่งยืน (In Thai)

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (Thailand Environment Institute: TEI) ร่วมกับบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เดินหน้าสานต่อพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการ “โตโยต้า 60 ปี ชุมชนสิ่งแวดล้อมยั่งยืน” โดยจัดกิจกรรม “รถ เปลี่ยน โลก” (Mobility Upcycling) เพื่อส่งเสริมการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ ผ่านกระบวนการ Upcycling หรือการแปรรูปขยะให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้จริง

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 6 พฤศจิกายน 2568 โดยดำเนินการร่วมกับ ชุมชนต้นแบบภายใต้โครงการ “โตโยต้า 60 ปี ชุมชนสิ่งแวดล้อมยั่งยืน” ได้แก่ ชุมชนบ้านแสมผู้ เทศบาลตำบลปากน้ำประแส จังหวัดระยอง, ชุมชนบ้านไร่ เทศบาลตำบลพระแท่น จังหวัดกาญจนบุรี, ชุมชนบ้านรางพลับ เทศบาลตำบลกรับใหญ่ จังหวัดราชบุรี, ชุมชนบ้านคลองอ้อม หมู่ที่ 4 และชุมชนบ้านคลองลัดยายหรั่ง หมู่ที่ 8 องค์การบริหารส่วนตำบลบางพระ รวมถึงเครือข่ายชุมชนภายใต้การดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบลคลองอุดมชลจร จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยในแต่ละพื้นที่จะมีการนำรถเคลื่อนที่ออกตั้งจุดรับขยะรีไซเคิล เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี และกระตุ้นให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง อันเป็นแนวทางสำคัญในการลดปริมาณของเสียและสร้างสังคมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

กิจกรรม “รถ เปลี่ยน โลก” มุ่งเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี การเพิ่มคุณค่าให้กับวัสดุเหลือใช้ และการนำขยะเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปนำขยะรีไซเคิลที่สะอาดมาร่วมแลกรับของรางวัล อาทิ ข้าวหอมมะลิ ไข่ไก่ และของอุปโภคบริโภค เพื่อเป็นแรงจูงใจในการส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการขยะที่เหมาะสมและยั่งยืน

นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว กิจกรรมดังกล่าวยังถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนให้ตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) และสนับสนุนการก้าวสู่ สังคมคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Neutrality) ของประเทศไทยในอนาคตอย่างยั่งยืน